จูเลี่ยน โจอาชิม : แข้งประวัติศาสตร์ จิ้งจอกสยาม ที่ถูกลืม
จูเลี่ยน โจอาชิม อดีตหัวหอกความเร็วสูงที่เคยลงเล่นให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในระหว่างปี 1992-1996 เล่าย้อนความหลังถึงช่วงเวลา 4 ปีของเขาในถิ่น “ฟิลเบิร์ต สตรีท”
โจอาชิม ยิงไป 31 ประตู จากการลงเล่นให้ทีมไป 119 เกม ซึ่ง 1 ในนั้นคือประตูในเกมนัดเปิดสนามของศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 1994-1995 ที่ เลสเตอร์ ซิตี้ พบกับ นิวคาสเซิ่ล และนั่นคือประตูที่ถูกบันทึกว่า เป็นประตูแรกของทีม “จิ้งจอกสยาม” ในศึกพรีเมียร์ลีกอีกด้วย
“ผมเกิดที่ปีเตอร์โบโร่ แต่มาโตที่ บอสตัน เพราะว่าพ่อแม่ของผมแยกทางกัน และแม่มาจากที่นั่น ตอนเด็ก ๆ ผมก็เล่นฟุตบอลตามปกติ ก่อนที่แมวมองเลสเตอร์ชื่อ เลส เกรย์ จะชวนผมมาอยู่กับสโมสร และนั่นคือจุดเริ่มต้นของผมกับทีม”
หลังจากเล่นให้ทีมเยาวชน โจอาชิม ก็ได้โอกาสประเดิมสนามกับทีมชุดใหญ่ในเกมพบ บาร์นสลี่ย์ ที่ ฟิลเบิร์ต สตรีท ในวันที่ 3 ตุลาคม 1992 โดยตอนนั้น อดีตดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษ เพิ่งอายุครบ 18 ปีมาได้แค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น
“มันเป็นก้าวเดินที่โตขึ้น ผมแค่พยายามเต็มที่เหมือนอย่างตอนที่อยู่กับทีมเยาวชน แน่นอนมันยากขึ้น เพราะว่าผมต้องเล่นกับผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์และเก่งกว่า แต่ทุกคนในทีมก็ดีกับผมมาก แฟน ๆ ก็เช่นกัน ผมมีความสุขกับทุกนาทีที่ได้เล่น”
หลังจากที่ประเดิมสนามเกมแรก 3 วัน โจอาชิม ก็ประเดิมประตูแรกของตัวเองในทีมชุดใหญ่ด้วยการซัดใส่ ปีเตอร์โบโร่ ในศึกลีก คัพ ก่อนที่จะจบสถิติในฤดูกาลแรกของเขากับ “จิ้งจอกสยาม” ไว้ที่ 13 ประตูจาก 31 เกมในทุกรายการ พร้อมกับมีส่วนช่วยให้ เลสเตอร์ ผ่านเข้าถึงรอบเพลย์ออฟชิงตั๋วพรีเมียร์ลีกกับ สวินดอน ทาวน์ ที่สนามเวมบลีย์

จูเลี่ยน โจอาชิม ในเกมดวลกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์
“มันยอดเยี่ยมมากที่ได้เล่นใน เวมบลีย์ ในชีวิตผม ผมไม่เคยแม้แต่จะไปเหยียบที่นั่นสักครั้ง ผมได้แต่ดูมันจากจอโทรทัศน์ ดังนั้นผมคิดว่าผมโชคดี ผมได้เล่นที่นั่น มันน่าตื่นเต้นมาก ๆ”
“ครึ่งแรก เราตามหลังคู่แข่ง 0-3 แต่เรารวมใจกัน มายิงตีเสมอ 3-3 ในครึ่งหลัง โดยผมเป็นคนยิงลูกแรกได้ เราฝันที่จะกลับมาแซงชนะ แต่สุดท้ายเราก็แพ้ 3-4 หลังจบเกม พวกเรานี่ล้มลงไปนอนกับพื้นกันหมดเลย”
“แน่นอนว่าผมผิดหวังมาก แต่ตอนนั้นผมยังเด็ก ผมแค่รู้สึกว่าผมอยากจะเล่นอีก นี่คือปีแรกของผมกับทีมอาชีพชุดใหญ่ ผมมีความสุข ผมยิงประตูได้ และทุกอย่างกำลังไปได้สวย ผมรอที่จะเล่นฤดูกาลใหม่ไม่ไหวแล้ว”
ฤดูกาลต่อมา โจอาชิม พา เลสเตอร์ เลื่อนชั้นได้สำเร็จ หลังชนะ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ในรอบเพลย์ออฟ พร้อมกับได้เล่นพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร (ก่อนหน้านั้นเล่นในนาม ดิวิชั่น 1 มาตลอด) นอกจากนี้ ดาวเตะชาวผู้ดี ยังสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้เล่นคนแรกที่ยิงให้ “จิ้งจอกสยาม” ในศึกพรีเมียร์ลีกอีก หลังยิงใส่ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในเกมแรกของซีซั่น น่าเสียดายที่วันนั้นทีมแพ้ 1-3
“การได้ยิงประตูแรกในชีวิตในศึกพรีเมียร์ลีกตั้งแต่นัดแรกนั้นยอดเยี่ยมไม่น้อย เพราะชื่อของผมจะอยู่ในประวัติศาสตร์ตลอดไป และผมภูมิใจกับมันมากนะ นอกจากนี้ชัยชนะเกมแรกของเราในพรีเมียร์ลีกก็เกิดขึ้นในวันที่ผมยิงประตูได้อีก”
“เกมนั้นคือเกมพบ สเปอร์ส ในวันที่ 17 กันยายน ผมยิงคนเดียวสองลูกเลย แต่หลังจากนั้นผมเจ็บหนัก ต้องพักยาว 6 เดือน มันเจ็บปวดมาก ช่วงแรกมันเหมือนฝันร้ายทุกวัน แต่หลังจากนั้นผมหายดีและผมไม่ได้เจ็บตำแหน่งเดิมอีกเลย”

โจอาชิม ประเดิมประตูแรกกับ เลสเตอร์ ในเกมพบ ปีเตอร์โบโร่ ในศึก ลีก คัพ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ โจอาชิม เจ็บหนัก ทีมมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เมื่อ ไบรอัน ลิตเติ้ล กุนซือใหญ่ตอบรับข้อเสนอของ แอสตัน วิลล่า และย้ายไปคุมทัพ “สิงห์ผงาด” ก่อนที่สโมสรจะแต่งตั้ง มาร์ค แม็คกี เข้ามาคุมทัพแทนในเดือนธันวาคม 1994 โดยตอนนั้น เลสเตอร์ อยู่อันดับสุดท้ายของตารางพรีเมียร์ลีก และตกชั้นในที่สุดเมื่อสิ้นฤดูกาล
“ผมเจ็บไปยาวในช่วงที่ แม็คกี เข้ามา และสัญญาของผมใกล้หมด ซึ่งนั่นทำให้โค้ชไม่ได้เห็นฟอร์มผม และไม่มีความคืบหน้าเรื่องสัญญา”
ซีซั่นต่อมา โจอาชิม ยังเล่นในลีกรองกับทีม แต่ในเดือนธันวาคม แม็คกี เลือกรับข้อเสนอของ วูล์ฟแฮมป์ตัน ทั้ง ๆ ที่ทีมยังอยู่ในอันดับ 2 ของตาราง ทำให้ เลสเตอร์ แต่งตั้ง มาร์ติน โอนีล เข้ามาแทน ก่อนที่ในเดือนมกราคม โจอาชิม จะย้ายไปร่วมทัพ แอสตัน วิลล่า ด้วยค่าตัว 1.5 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าสูงพอสมควรในเวลานั้น
“ผมเข้ากับ โอนีล ได้ดีนะ ผมอยากอยู่กับ เลสเตอร์ ต่อ เพราะที่นั่นเหมือนบ้านของผม แต่สโมสรไม่มีเงินเลย และ โอนีล ต้องการเสริมทัพในตำแหน่งอื่น ซึ่งผมเป็นไม่กี่คนที่สโมสรจะขายได้ราคาดี ดังนั้นผมจึงต้องย้ายทีม และจบเส้นทางกับสโมสรไว้ที่ตรงนั้น” โจอาชิม ปิดท้าย
และนั่นคือเส้นทางค้าแข้งตลอด 4 ปีของ อดีตกองหน้าดาวรุ่ง ที่ครั้งหนึ่งสื่ออังกฤษเคยจับตามองกับ เลสเตอร์ หลังจากนั้น โจอาชิม ย้ายทีมอีกเกือบ 20 ครั้ง พร้อมได้เล่นฟุตบอลในหลายระดับของเมืองผู้ดี ก่อนแขวนสตั๊ดในวัย 44 ปี แต่อย่างน้อยเขาก็จารึกชื่อว่าผู้ที่ยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกให้กับ “จิ้งจอกสยาม” ได้สำเร็จ