แม็ทธิว โอ๊คลี่ย์ กับความทรงจำในสีเสื้อ จิ้งจอกสยาม

แม็ทธิว โอ๊คลี่ย์ อดีตกัปตันทีมเลสเตอร์ ซิตี้ จะมาย้อนวันวานถึงสมัยที่ตัวเขาพา “จิ้งจอกสยาม” ผงาดคว้าแชมป์ลีกวัน เมื่อปี 2009 และเรื่องราวในสมัยที่ทีมต้องตกชั้น ก่อนเลื่อนชั้น และผิดหวังในรอบเพลย์ออฟเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก

โอ๊คลี่ย์ เริ่มต้นด้วยการเป็นเด็กฝึกของ เซาธ์แฮมป์ตัน ก่อนย้ายไป ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ก่อนที่ในปี 2008 เขาจะย้ายเข้าสู่ถิ่น วอล์คเกอร์ สเตเดี้ยม ด้วยค่าตัวราว 500,000 ปอนด์ ซึ่งในตอนนั้น เลสเตอร์ กำลังหนีตายอย่างหนักใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ

“ผมย้ายจาก ดาร์บี้ ที่ตอนนั้นกำลังหนีตายอย่างลำบากในศึกพรีเมียร์ลีก มาอยู่กับ เลสเตอร์ ที่กำลังดิ้นรนอยู่รอดใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ เช่นกัน โดยผู้จัดการทีมในตอนนั้นอย่าง เอียน ฮอลโลเวย์ ชวนผมเข้ามา และสุดท้ายแม้เราจะพยายามอย่างเต็มที่ ทว่าเราก็ยังตกชั้นอยู่ดี”

หลังจากตกชั้นไปสู่ลีก วัน สโมสรก็ทำการแต่งตั้ง ไนเจล เพียร์สัน เข้ามารับหน้าที่แทน และสุดท้าย โอ๊คลี่ย์ ก็มีส่วนช่วยให้ทัพ “จิ้งจอกสยาม” คว้าแชมป์ลีกลำดับสามของประเทศ และได้เลื่อนชั้นกลับมาในปีเดียว

“ตอนที่เราตกไปอยู่ ลีก วัน คือ ช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สโมสร แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเส้นทางแห่งความฝันของ เลสเตอร์ ซิตี้ จนถึงวันนี้”

“ไนเจล เพียร์สัน เข้ามาทำหน้าที่กุนซือใหญ่ พร้อมกับวางแผนและมีเป้าหมายที่ชัดเจน สุดท้ายเราเลื่อนชั้นด้วยการคว้าแชมป์ลีก วัน แบบยอดเยี่ยม ฤดูกาลต่อมา เราไปถึงรอบเพลย์ออฟชิงตั๋วขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก น่าเสียดายที่เราแพ้ คาร์ดิฟฟ์ จนอดเลื่อนชั้น”

“หลังจากเราอดได้ตั๋วพรีเมียร์ลีก มีข่าวลือว่า เปาโล ซูซ่า เทรนเนอร์ชาวโปรตุกีส จะมาทำหน้าที่แทน ไนเจล ซึ่งผมยอมรับว่านักเตะในทีมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร เพราะทุกคนมีความสุขกับ ไนเจล และทำให้ ซูซ่า เจองานที่ยากลำบากในช่วงซีซั่นต่อมา จนสุดท้ายเขาก็โดนปลดอยู่ดี ผมเสียใจกับ ซูซ่า มากนะ เพราะในฐานะกัปตันทีม ผมคุยกับเขาบ่อยมาก ๆ”

“การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสร เราได้ สเวน โกรัน อิริคสัน ที่มีดีกรีเป็นถึงอดีตผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเข้ามาคุมทีม ทั้ง ๆ ที่เราอยู่ในลีกรองของประเทศ และนั่นก็ทำให้สื่อและแฟนทีมอื่นจับตาเราอย่างมาก”

“ตอนนั้น สเวน เซ็นสัญญาผู้เล่นเข้ามาเยอะมาก เขาเคยบอกว่าเขาต้องการผู้เล่นในทีมตำแหน่งละ 3 คน ซึ่งมันเยอะมาก ๆ และต่อมา เอฟเอ ก็เปลี่ยนกฎจากที่เคยให้เราใส่ชื่อตัวสำรองได้ 7 คน ให้ลดลงเหลือ 5 คนเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้ สเวน มีปัญหากับการจัดทีมอย่างหนัก เพราะนั่นหมายความว่าในแต่ละเกมจะมีผู้เล่นมากกว่า 10 คนที่จะไม่มีส่วนร่วมเลย และนั่นก็ทำให้บรรยากาศในห้องแต่งตัวไม่ค่อยดีเท่าไร”

“ตัวผมเองก็เซ็งไม่แพ้กัน ผมเคยบอกเขาว่า ‘มันไม่เป็นไรเลย ถ้าผมจะไม่ได้มีชื่อในแต่ละเกม เพราะผมจะกลับไปพยายามอย่างหนักและพร้อมในเกมต่อ ๆ ไป แต่ผมขอเหอะ อย่าพาผมเดินทางไปในเกมเยือนเพื่อให้ผมนั่งชมเกมจากอัฒจันทร์เลยนะ’ สเวนบอกผมว่า เขาเข้าใจ และเขาอยากให้ผมอยู่กับทีมต่อไปเพื่อช่วยประคองน้อง ๆ ผมเคารพเขานะ แต่ตอนนั้นร่างกายผมยังอยากลงเล่นอยู่”

“ผมรู้สึกฟิตและกระหายที่จะลงสนาม และตอนนั้น พอล ทิสเดลล์ เพื่อนของผมก็โทรหา เขาชวนผมไปเล่น เอ็กเซเตอร์ ซิตี้ และสุดท้ายผมก็ลาทีมไปในเดือน กันยายน ปี 2011 และไม่ได้กลับมาเล่นให้ เลสเตอร์ อีกเลย”

ตอนนั้น โอ๊คลี่ย์ ย้ายไปเล่นให้กับ เอ็กเซเตอร์ ด้วยสัญญายืมตัว ก่อนเซ็นสัญญาถาวรในเวลาต่อมา และสุดท้าย อดีตยอดกองกลางชาวผู้ดี ก็แขวนสตั๊ดกับ เอ็มเค ดอนส์ ในปี 2017 อย่างไรก็ตาม แม้จะจากไปแล้ว แต่ โอ๊คลี่ย์ ก็คือกัปตันทีมที่ทุ่มเทเพื่อ เลสเตอร์ มา และชื่อของเขาก็ยังอยู่ในหัวใจของแฟนบอลเสมอมา

“ผมภูมิใจมากนะที่ได้เป็นกัปตันทีมของ เลสเตอร์ ผมไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของแฟน ๆ ในตอนแรก เพราะผมย้ายมาจาก ดาร์บี้ คู่อริขอพวกเรา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็ชนะใจทุกคนได้ และผมดีใจที่ครั้งหนึ่งผมได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแห่งนี้ ครอบครัวเลสเตอร์ ของเรา” โอ๊คลี่ย์ ปิดท้าย